หวานใจนายลึกลับ - นิยาย หวานใจนายลึกลับ : Dek-D.com - Writer
×

    หวานใจนายลึกลับ

    ฉัน "ฟ้า" สาวน้อยวัย 16 ที่ต้องมาเจอเรื่องราวที่แสนวุ่นวาย จนทำให้หัวใจต้องปั่นป่วนจนแทบระเบิด

    ผู้เข้าชมรวม

    48

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    48

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  10 พ.ย. 59 / 10:45 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    บทนำ

     

    ค่ำคืนนี้มันเงียบเหงาเกินไปสำหรับคนๆนึง คนที่กำลังจะหมดสิ้นแล้วซึ่งหัวใจและความรู้สึก ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการที่หยาดฝนสาดเทลงมาหยดแล้วหยดเล่าทำให้ความรู้สึกจมดิ่งลงสู่ขุมนรกลงไปเรื่อยๆราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาลดึงลงไป พอแล้วทุกอย่างที่ฉันได้รับมันเจ็บปวดเกินไป ฉันก้าวขึ้นบันไดทีละก้าวทีละก้าว จนพาตัวเองมาอยู่ขอบของชั้นดาดฟ้าเมื่อไรไม่รู้ ฝนยังคงกระหน่ำทิ่มแทงร่างกายจนเปียกปอนและหนาวไปถึงหัวใจ เบื้องล่างของตึกสูง 15 ชั้น ทำให้ทุกอย่างดูเล็กจิ๋วแต่มองเห็นอะไรได้กว้างขึ้น แสงไฟตามทางและบ้านเรือนระยิบระยับเหมือนรอคอยให้ฉันลงไปหา อีกไม่นานหรอก ... อีกไม่นาน

    “นี่จะทำอะไรน่ะ!?”  เสียงใครบางคนหันเหความสนใจของฉันออกจากพื้นเบื้องล่าง  “ห้ามทำอะไรโง่ๆอย่างนั้นนะ”  เขาย้ำชัดเสียงแข็งเป็นเสียงที่ทุ้มหล่อดีแต่มันไม่ดีพอที่จะยื้อชีวิตให้นานขึ้นได้อีกแล้ว

    ฉันก้าวขาออกไปจากตัวตึก ร่างตัวเองร่วงลงไปด้วยความเร็ว เอ๊ะ! หรือว่าความเร่งกันนะ วูบวาบดีเหมือนกันแต่ทุกอย่างมันกำลังจะจบตรงนี้แล้วล่ะ ขอโทษนะคะ พ่อ แม่

    “ม่ายยยย!!”  เสียงของเขายังคงตามมาหลอกหลอนฉันจนวินาทีสุดท้ายในชีวิต ถ้าชาติหน้ามีจริงหวังว่าคงจะได้เห็นหน้าของพ่อหนุ่มเสียงหล่อคนนี้นะ ลาก่อน...

     

     

    ติ๊ด ... ติ๊ด ... ติ๊ด ...

    นี่ฉันอยู่บนสวรรค์หรือนรกกันแน่นะ คงเป็นนรกสินะก็ฉันมันทำให้พ่อแม่เสียใจนี่นา ว่าแต่นรกมันมืดจัง แถมยังมีเสียงน่ารำคาญดังตลอดเลย เสียงมันคล้ายๆกับ ... อะไรบางอย่างนึกไม่ออก ช่างมันเถอะทุกอย่างบนโลกมนุษย์จบแล้ว เหลือแต่ต้องมาชดใช้กรรมในนรกต่อก็เท่านั้น

    “ฟ้า! ฟ้าลูกแม่”  นั่นเสียงแม่นิ!

    “คุณหมอลูกผมฟื้นแล้ว!”  พ่อก็ด้วย ฉันยังไม่ตายหรอ ไม่จริง!?

    ฉันค่อยๆเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งออกแสงไฟเจิดจ้ากระทบกับตาทำให้ต้องหรี่ตาในทันที ฉันกดเปลือกตาแน่นอีกครั้งแล้วค่อยๆคลายออก เหมือนจะรับแสงได้ดีขึ้นแต่มองเห็นอะไรพร่ามัวไปหมดเหมือนคนสายตาสั้น ที่ด้านซ้ายมือนั้นแม้จะเห็นลางๆแต่ฉันก็จำเขาได้ดี ใบหน้าของหญิงวัย 37 ปีที่ฉันรู้จักและรักเขามากที่สุด “แม่”

    “ฟ้า...”  แม้เรียกชื่อฉันเสียงสั่นเครือ ใบหน้าของแม่เริ่มแจ่มชัดขึ้นท่านดูทรุดโทรมไปมากจากที่เห็นครั้งสุดท้าย การกระทำที่ไม่ยั้งคิดทำให้คนที่รักฉันต้องเป็นห่วงอยู่แบบนี้ น่าจะตกนรกหมกไหม้ให้ได้รู้สำนึกซะบ้าง

    “ฟ้า”  พ่อเดินมากับหมอคนหนึ่ง

    “ผมขอดูอาการคนไข้สักนิดนะครับ”  หมอคนนั้นเดินมาใกล้ๆ ใช้มือซ้ายเปิดเปลือกตาของฉันให้กว้างขึ้น แล้วใช้ไฟฉายส่องมา มันแสบตามาจริงๆจนทำให้ต้องหลับตาปี๋เลย เขาทำอีกข้างเช่นเดียวกัน ทำไมมันแสบตามากกว่าทุกทีนะ  “คงต้องให้อยู่ที่นี่สองสามวันเพื่อดูอาการอย่างละเอียด ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติก็ให้กลับบ้านได้ครับ”

    “ขอบคุณมากนะคะหมอ ขอบคุณจริงๆ”  แม่ร้องไห้แล้วหันมากอดพ่อ

    “ฟ้าลูกอย่าคิดว่าลูกไม่มีใคร ยังไงฟ้าก็ยังมีพ่อกับแม่นะลูก”  พ่อผละออกจากแม่แล้วท่านทั้งสองก็กอดฉันเอาไว้อย่างแผ่วเบา น้ำตาแห่งความรู้สึกผิดไหลลงอาบแก้มอย่างมิอาจรั้งไว้ได้

    “หนูขอโทษค่ะ”  เสียงแหบพร่าเหมือนไม่ได้ดื่มน้ำมานาน นานจนเกือบลืมวิธีพูดไปแล้ว ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทำเรื่องโง่เง่าแบบนั้นไปได้ยังไง ทำให้คนที่ฉันรักและเขาก็รักฉันมากที่สุดเสียใจ กับแค่ผู้ชายคนเดียวมันไม่มีค่าพอจะมาทำลายชีวิตของฉันได้ ต่อไม่มีนี้จะไม่มีอีกแล้ว ... ไม่มีวัน!

    คืนนี้ฉันสมควรนอนคนเดียวเพราะทำให้พ่อกับแม่ลำบากมามากพอแล้ว ให้ท่านได้กลับบ้านพักผ่อนบ้างเถอะ ยังไงก็ยังมีพยาบาลที่จ้างมาพิเศษคอยดูแลฉันตลอด 24 ชั่วโมง เพียงแค่กดปุ่มที่อยู่ข้างเตียงนอน คิดถูกเหลือเกินที่ให้พยาบาลเปิดม่านทิ้งไว้ เพราะท้องฟ้ายามราตรีในค่ำคืนนี้มันสุกสกาวระยิบระยับไปด้วยหมู่ดาว กลุ่มดาวหนาแน่นคล้ายแถบสีขาวบางๆพาดผ่านหมู่ดาวระยิบระยับนั่นอีกที นี่สินะที่เขาเรียกว่าทางช้างเผือก มันสวยงามและไม่เงียบเหงาเหมือนคืนนั้น คืนที่ฉันคิดผิด และเป็นคืนที่ฉันได้ยินเสียงใครบางคนร้องห้ามเอาไว้

    แกร๊ก!

    เสียงลูกบิดประตูถูกหมุนได้เวลาที่จะต้องเช็ดตัวอีกแล้วหรอ เพิ่งเช็ดไปเมื่อหัวค่ำนี่เองนะ เขาค่อยๆปิดประตูแล้วล็อคมันก่อนจะเดินมาหาฉันอย่างช้าๆ

                “เปิดไฟได้นะคะฉันยังไม่นอน”  น่าแปลกที่ร่างนั้นเหมือนไม่ได้สนใจคำพูดของฉันเลย มันยังคงเดินมาเรื่อยๆ และน่าแปลกเพราะเงาที่ฉันเห็นมันสูงกว่าพยาบาลที่จ้างไว้นิ ร...หรือว่า!!  “ก...”  ยังไม่ทันที่เสียงจะออกฝ่ามือที่ใหญ่แต่นุ่มก็มาปิดปากไว้ แต่ฉันยังไม่ยอมแพ้เลยดิ้นสุดชีวิตไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนคงเป็นอะดรีนาลินหลั่งล่ะมั้ง

                “ชู่ววว~ จุ๊ๆ”  ไอ้บ้าไอ้โรคจิตใครจะเงียบให้แกทำอะไรฉันได้!  “ใจเย็นๆก่อน ฉันเอง”  เขาพูดเสียงเบา และเสียงนั่น ... ฉันจำเสียงเขาได้

     

     

    “นี่จะทำอะไรน่ะ!?”  เสียงใครบางคนหันเหความสนใจของฉันออกจากพื้นเบื้องล่าง  “ห้ามทำอะไรโง่ๆอย่างนั้นนะ”  เขาย้ำชัดเสียงแข็งเป็นเสียงที่ทุ้มหล่อดีแต่มันไม่ดีพอที่จะยื้อชีวิตให้นานขึ้นได้อีกแล้ว

    ฉันก้าวขาออกไปจากตัวตึก ร่างตัวเองร่วงลงไปด้วยความเร็ว เอ๊ะ! หรือว่าความเร่งกันนะ วูบวาบดีเหมือนกันแต่ทุกอย่างมันกำลังจะจบตรงนี้แล้วล่ะ ขอโทษนะคะ พ่อ แม่

    “ม่ายยยย!!

     

     

                ชายปริศนาปลดมือออกจากปากหลังจากที่อาการของฉันหายตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ในเงามืดแบบนี้ทำให้ได้กลิ่นของเขาชัดเจน กลิ่นหอมๆคล้ายกับดอกไม้เมืองหนาวที่คุ้นเคย

                “เธอรู้ได้ไงว่าฉันอยู่บนดาดฟ้าแล้วคิดจะฆ่าตัวตาย”  การยิงคำถามที่ตรงประเด็นทำให้เขาผงะเล็กน้อยแม้ในความมืดก็ยังรู้สึกได้ ชายหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงดวงดาวนับล้านที่สว่างไสวบนท้องฟ้าทอแสงอ่อนๆเผยให้เห็นหน้าเขาได้ชัดเจน ผมรองทรงปกติแต่กลับสวยงามด้วยสีผมดำขลับ ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลา สะอาดสะอ้าน แต่งแต้มด้วยคิ้วดำเข้มที่สวยงามรับกับสันจมูกโด่งเป็นสัน หน้าตาหล่อเหลาเหมือนหลุดมาจากภาพวาดกรีกโบราณ นัยน์ตาสีฟ้าสดใสนั่นจ้องมาที่ฉันแต่ทำไมมันดูเศร้าสร้อยเหลือเกินนะ

                “ฉันเฝ้ามองเธออยู่ตลอดไม่ว่าเธอจะทำอะไร ที่ไหน กับใคร ฉันก็คอยตามดูเธออยู่ไม่ห่าง”  เสียงทุ้มนุ่มลึกหล่อเหลาไม่เปลี่ยนไปจากที่ฉันได้ยินเมื่อครั้งล่าสุด ... และนั่นก็ครั้งแรกด้วย

                “เธอเป็นพวกสต๊อกเกอร์โรคจิตหรอ”

                “ป...เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น ฉันหมายถึงแอบดูเธออยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ไม่ได้ประสงค์ร้าย”

                “ฮิๆ ตลกจัง”  ภาษาของเขาเหมือนหลุดออกจากยุคหินแน่ะ

                “เธอหัวเราะอะไรหรอ”  สีหน้าของเขางุนงงยิ่งทำให้ตลกเข้าไปอีกนะ

                “เธอพูดอะไรตลกจังเหมือนอยู่คนละยุคกับฉันเลย”  เขายิ้มแหยๆ ถ้าไม่มีใบหน้าที่หล่อราวกับเทพบุตรนั่นคงทำให้ยิ่งดูตลกมากไปกว่านี้แน่ๆ  “แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ”

                “คือ...นับจากนี้ไปฉันจะมาหาเธอได้มั้ย”  เขากลอกตามองไปทางอื่นที่แก้มเริ่มสีชมพูระเรื่อทำให้ฉันเผลอยิ้มออกไป

                “ได้สิทำไมจะไม่ได้ล่ะ”  ฉันฉีกยิ้มให้กับท่าทีเคอะเขินของเขา

                “ขอบคุณนะ”  นัยน์ตาสีฟ้าของเขาจ้องมองฉันอีกครั้งดวงตาคู่นั้นดูสดใสขึ้นมาในทันที

                “เธอชื่ออะไรหรอ ส่วนฉันชื่อ...”

                “ฉันชื่อดิน และเธอชื่อฟ้า ฉันรู้จักเธอแล้ว”  วูบหนึ่งที่ใจของฉันกระตุกหลังจากได้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนของดินเป็นครั้งแรก  “และฉันขอนะฟ้าอย่าทำอะไรบ้าๆแบบนั้นอีก”  น้ำเสียงของเขาเศร้าสร้อยดวงตาหลบมองลงไปด้านล่าง

                “อื้ม พอย้อนกลับไปคิดก็รู้ว่าตัวเองบ้าเหลือเกิน”  ใช่ชีวิตของฉันมีค่ามากกว่าผู้ชายโง่ๆคนนั้น

                “บ้ามาก...เธอหลับไปเป็นเดือน พ่อแม่เธอสวดมนต์อ้อนวอนภาวนาทุกวันให้เธอฟื้นขึ้นมา”

                “ฉันเสียใจจริงๆ มันจะไม่มีอีกแล้วล่ะ ว่าแต่...เธอมาหาฉันด้วยหรอ”

                “ฉันเฝ้าดูอยู่เธอตลอด”  เขายิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือมาสัมผัสที่เส้นผมของฉันอย่างแผ่วเบา  “ฟ้าควรจะพักผ่อนได้แล้วหลับซะนะ”  จู่ๆความง่วงก็เข้าครอบงำๆ เปลือกตาก็เกิดหนักอึ้งขึ้นมาเสียเฉยๆ เดี๋ยวสิฟ้าฉันยังอยากคุยกับเธออยู่เลยนะ ภาพสุดท้ายก่อนที่ดวงตาจะปิดสนิทคือดวงหน้านั้นมองฉันอย่างอ่อนโยนและห่วงใย

     

     

    แววตาของฟ้าในคืนนั้นยังแจ่มชัดภายในใจ รอยยิ้มที่อ่อนโยนกับดวงตาเศร้าสร้อยที่มองมาคู่นั้น ทำเอารู้สึกหวั่นๆ ไม่น้อยแต่ก็ไม่ถึงขั้นชอบอะไรหรอกนะก็ฉันเพิ่งผิดหวังกับมันมาเองนี่

                “น้องฟ้าคะได้เวลาตรวจร่างกายแล้วค่ะ”  พยาบาลสาวเดินมาพร้อมกับพ่อแม่สีหน้าของท่านดูปีติระคนตระหนกถึงแม้จะพยายามปิดบังยังไงความรู้สึกก็ยังส่งผ่านทางแววตา พ่อค่อยๆพยุงฉันลงจากเตียงแล้วพาลงนั่งที่รถเข็น ท่านเข็นรถออกไปโดยมีเดินข้างๆและมีพยาบาลคอยตามหลัง เรามาหยุดอยู่หน้าห้องตรวจก่อนที่แม่จะผลักประตูเปิดไว้แล้วให้พ่อเข็นรถฉันเข้าไป พบคุณหมอคนเมื่อวานนั่งอ่านเอกสารอะไรบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นมองหน้าฉันแล้วยิ้มให้

                “สีหน้าดูดีขึ้นนะครับน้องฟ้า”  ฉันยิ้มตอบ  “เดี๋ยวหมอจะเอ๊กซ์เรย์สมองและแสกนสมองนะ”  ฉันพยักหน้าหงึกๆเป็นการตอบรับก่อนจะหันไปหาพ่อแม่พวกท่านส่งยิ้มหวานมาให้เป็นกำลังใจ พยาบาลสาวพาฉันมาหยุดที่เครื่องอะไรก็ไม่รู้สิเครื่องใหญ่ๆ มีอะไรคล้ายๆอุโมงค์ด้วยซึ่งอยู่ห้องถัดไป บุรุษพยาบาลที่ประจำห้องนี้ช่วยพยุงฉันขึ้นไปจัดระเบียบท่าโดยให้ฉันนอนหงายพับแขนเก็บข้างลำตัวและหนีบขาให้ชิดกัน

                “ไม่ต้องกลัวนะครับน้องฟ้านอนสบายๆไม่ต้องเกร็งนะ”  คุณหมอยืนยันให้ฉันคลายกังวลแม้จะพูดแบบนั้นแต่มันก็เป็นการเข้าเครื่องนี่ครั้งแรกจึงยังไม่สามารถทำให้ร่างกายผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่ แต่เอาเถอะในเมื่ออยู่ในมือหมอเราก็ปลอดภัยจริงๆ ... ใช่มั้ย

    ทุกอย่างใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้นบุรุษพยาบาลกับนางพยาบาลเข้ามาประคองร่างให้นั่งบนรถเข็นก่อนจะพาไปหาคุณหมอ เขานั่งจ้องคอมพิวเตอร์อยู่สักครู่แล้วภาพที่มอนิเตอร์ขนาดใหญ่ถูกฉายโดยลิ้งก์มาจากคอมพิวเตอร์ของคุณหมอ มันเป็นภาพสมองซึ่งฉันเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกแต่เคยเห็นในหนังในละคร พ่อกับแม่นั่งอยู่ที่โต๊ะมองมันอย่างวิตกไม่น้อยแต่พยายามฝืนเก็บมันไว้

                “ก่อนหน้านี้ช่วงที่คนไข้ไม่ได้สตินั้นหมอเช็คดูแล้วคาดว่าคนไข้จะเป็นเจ้าหญิงนิทราหรือไม่ก็ความจำเสื่อมเนื่องจากสมองหลายส่วนได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงและมีบางจุดที่มีเลือดคั่ง ผมทำการผ่าตัดอยู่หลายครั้งเพื่อระงับเลือดคั่งในสมอง แต่ตอนนี้เท่าที่ดูแล้วสมองของคนไข้ฟื้นฟูกลับสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว น่าแปลกมากที่ตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้นแต่ร่างกายกลับได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย สรุปคือสมองและร่างกายของน้องฟ้าสมบูรณ์เกือบ 100% แล้ว เหลือเพียงทำกายภาพอีกเล็กน้อยก็สามารถกลับบ้านได้ครับ”

                “จริงหรอคะหมอ”  แม่ย้ำกับคุณหมอ เขาพยักหน้ารับด้วยสีหน้ายินดี น้ำตาไหลอาบสองแก้มของแม่ ท่านโผกอดฉันอย่างแนบแน่นเพราะนี่เป็นกอดแรกหลังจากที่ไม่ได้กอดฉันเป็นเดือน ฉันพยายามยกแขนอันไร้เรี่ยวแรงกอดแม่อยากกระชับให้แน่นกว่านี้แต่ทำไม่ได้น้ำตาหลั่งไหลลงบนบ่าของแม่เท่านั้น

                “ขอบคุณมากนะครับหมอ ขอบคุณจริงๆ”  ถึงพ่อจะไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่น้ำเสียงสั่นเครือก็บอกทุกอย่างว่าเขาดีใจจนเก็บไว้ไม่อยู่ ปกติแล้วพ่อจะไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นเพราะท่านต้องทำงานบริษัทที่ตัวเองเป็นเจ้าของมีลูกน้องมากมายหลายพันคนท่านจึงต้องมีความเด็ดขาดเข้มงวด

                หลังจากที่ฟังคุณหมอพูดเสร็จพ่อกับแม่ก็พาฉันกลับไปที่ห้องพักของตัวเองโดยมีพยาบาลเดินตามมาเหมือนเดิม เมื่อถึงเตียงเธอกับพ่อก็ช่วยกันพยุงร่างฉันขึ้นไปนอนพยาบาลสาวปรับเตียงส่วนแผ่นหลังให้สูงขึ้นจนเป็นท่านั่ง

                “เดี๋ยวจะทำการกายภาพบำบัดให้กับคนไข้นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะทำให้ดูเบื้องต้นนะคะสามารถนำไปบำบัดต่อได้ที่บ้านหลังจากออกโรงพยาบาลค่ะ”  นางพยาบาลเดินมาที่ด้านขวามือประคองแขนฉันขึ้น ขยับขึ้นลงช้าๆ มันไม่ได้เหมือนคนเป็นอัมพาตซะทีเดียวนะยังมีความรู้สึกเมื่อมีคนมาสัมผัสโดนแต่แค่ไม่มีแรงจะขยับไปไหนมาไหน ให้เปรียบความไร้เรี่ยวแรงก็คล้ายกับตอนเราเป็นเหน็บที่ขาแล้วมันจะรู้สึกจั๊กจี้จนไม่มีแรงยังไงอย่างงั้น

    นางพยาบาลยังสอนพ่อแม่ทำกายภาพอยู่เปลี่ยนจากมือขวาไปมือซ้ายเปลี่ยนจากมือซ้ายไปขาซ้ายและสุดท้ายก็มาจบที่ขาขวา พ่อเริ่มเป็นคนทำก่อนทำเหมือนที่นางพยาบาลสอนและแม่ทำเป็นคนสุดท้าย ยิ่งเห็นภาพแบบนี้น้ำตาฉันมันก็เอ่อล้นขึ้นมายิ่งทำให้รู้ว่าตัวเองเป็นลูกที่เลวแค่ไหนในเดือนก่อน ฉันกล้าทำร้ายคนที่ฉันรักและเขาก็รักฉันได้ยังไง หนูเสียใจจริงๆค่ะ พ่อ...แม่

     

     

                คืนนี้ดวงดาวยังทอแสงอยู่เต็มท้องฟ้าเหมือนเคยและเป็นอีกหนึ่งคืนที่ฉันนอนคนเดียวเพราะพ่อแม่ของฉันต้องทำงานไหนยังจะต้องมาดูแลฉันอีก ฉันอยากให้ท่านได้พักผ่อนมากๆ ไม่รู้ทำไมฉันแอบหวังจะได้เห็นดินอีกครั้งในค่ำคืนนี้ อยากพบดวงตาสีฟ้าเศร้าคู่นั้น อยากเห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่มีให้กันในวันที่ฉันอ่อนแอ

     

    แกร๊ก!

     

    เมื่อได้ยินเสียงลูกบิดประตูร่างกายกลับตื่นตัว เลือดในกายสูบฉีดอย่างไม่น่าเชื่อ ทำไมจิตใจของฉันมันกระวนกระวายได้ขนาดนี้ ประตูเปิดออกแล้ว แต่ ... ไฟก็ถูกเปิดด้วยเช่นกัน

                “เช็ดตัวหน่อยนะคะน้องฟ้า”  นางพยาบาลนำผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดตามผิวกาย ทำไมฉันต้องรู้สึกผิดหวังด้วยนะ

                “เอ่อ...พี่พยาบาลคะ”

                “ว่าไงคะ”

                “หนูอยากรู้ว่าที่โรงพยาบาลมีคนไข้ชื่อดินรึเปล่าคะ”

                “ดินไหนคะ ถ้าเป็นน้องดินที่เป็นเด็กผู้หญิง 10 ขวบก็มีนะคะมีอะไรรึเปล่าน้องฟ้า”

                “อ...เอ่อ...เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”  ฉันยิ้มแหยๆให้นางพยาบาล เธอยิ้มตอบกลับแบบไม่สงสัยอะไร อาจจะคิดว่าฉันกำลังเพี้ยนเพราะพิษไข้ หรือได้รับการกระแทกอย่างหนักที่สมองก็ได้

                “เช็ดตัวเสร็จแล้วนะคะ แล้วก็พักผ่อนได้แล้วนะคะน้องฟ้า”

                “ค่ะ”  พยาบาลสาวฉีกยิ้มให้ฉันอีกครั้งก่อนจะเก็บข้าวของที่นำเข้ามากลับออกไป...ดินคืนนี้เธอจะไม่มาจริงๆ หรอ

    คิดไม่ทันขาดคำเสียงลูกบิดก็ถูกบิดออกอีกครั้ง เงาของชายร่างสูงโปร่งเดินเข้ามา ย่ามกรายผ่านความมืดตรงมาหาฉันด้วยความเงียบ รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นคนที่ฉันรอคอยแน่ๆ ริมฝีปากเรียวเล็กอมชมพูยิ้มกว้างมาแต่ไกล ก่อนที่แสงจากภายนอกจะส่องให้เห็นดวงตาสีฟ้าเศร้าสร้อยคู่นั้น

                “ขอโทษนะที่มาช้า ฉันตั้งใจว่าจะเข้ามาหาเธอตั้งแต่เมื่อกี้แล้วแต่พี่พยาบาลเข้ามาซะก่อน”  ดินอธิบายก่อนจะหยิบเก้าอี้มานั่งข้างๆ

                “ไม่เป็นไร ทำไมเธอไม่เข้ามาพร้อมพี่พยาบาลเลยล่ะ”

                “ฉันไม่ให้ใครเห็นนอกจากเธอ”  เขากระตุกมุมปากขึ้นเป็นยิ้มอบอุ่นที่พอดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน อ่าวไม่ใช่และ  “เธอเป็นไงบ้าง”

                “อีกวันสองวันก็กลับบ้านได้แล้วแหละ เหลือแต่ทำกายภาพบำบัดให้กลับมาเดินได้อีกครั้งน่ะ”

                “ฉันช่วยนะ”  เขาบีบหนวดแขนอย่างเบามือ ขยับแขนขึ้นลงเหมือนที่ทำตอนบ่ายแต่กลับรู้สึกเหมือนมีพละกำลังมากขึ้น  “ดีขึ้นมั้ย”  ฉันพยักหน้ารับเขาวางแขนฉันลงที่ข้างลำตัว  “งั้นลองยกแขนขึ้นเองได้มั้ย”  แขนมันหนักจริงๆ ไม่ใช่เพราะฉันอ้วน แต่เป็นเพราะกล้ามเนื้อไม่มีแรงพอจะขยับได้ดั่งใจคิด ฟ้าเอามือมาแตะที่แขนเบาๆเพียงครู่เดียวแขนของฉันก็เบาขึ้นอย่างน่าประหลาด มันขยับได้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม

                “ทำได้แล้ว! ฉันทำได้แล้ว!

                “พยายามดีมากเลย”

    ดินยังคงทำแบบนี้กับแขนอีกข้างเขาพยายามช่วยฉันซึ่งก็น่าแปลก ทุกครั้งที่เขาช่วยและเราสัมผัสกันเหมือนมีมนต์อะไรบางที่ทำให้ฉันรู้สึกดีและแข็งแรงขึ้น เราใช้เวลาเกือบทั้งคืนในการบำบัดร่างกายของฉันให้สามารถเดินเหินได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเดินได้คล่องแคล่วเหมือนแต่ก่อน ก็อย่างว่าและนะมันต้องใช้เวลาพอสมควร

                “ฟ้า ค่อยๆเดินมา จะถึงแล้ว อีกนิดเดียว”  ดินอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าว ฉันต้องทำได้ ต้องทำให้ได้  “ถึงแล้ว!”  ดินรี่เข้ามาประคองฉัน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะผ่านมันมาได้ ขอบคุณนะ

    ฉันเงยหน้ามองชายที่อยู่ตรงหน้า ในยามนี้ดวงดาวช่างงดงามเหลือเกิน แสงสว่างอ่อนๆนับล้านดวงที่สุกสกาวอยู่บนท้องฟ้ามืดดำแสงของมันสาดส่องลงมาผ่านหน้าต่างโดยมีชายหญิงคู่หนึ่งจ้องมองกัน นัยน์ตาของคนทั้งคู่ระยิบระยับเป็นประกาย ดวงหน้าของชายหนุ่มเขยิบเข้าหาใบหน้าอันอ่อนหวานของหญิงสาว จนริมฝีปากของเขาสัมผัสกับริมฝีปากอันอ่อนหนุ่มของเธออย่างแผ่วเบา หัวใจของคนทั้งคู่สั่นคลอนไม่เป็นจังหวะ คล้ายกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังก่อเกิดระหว่างคนแปลกหน้าทั้งสองคนซะแล้ว

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น